เอฟเอคัพ ครั้งที่ 140 ความขลัง กับ โควิด

เอฟเอคัพ ฟุตบอลถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดของโลก ครั้งที่ 140 รอบ 3

จะออกสตาร์ทกันในวันศุกร์นี้ ท่ามกลางการระบาดหนักของไวรัส โควิด-19 ที่เมืองผู้ดีระลอกใหม่ ถือเป็นธรรมเนียมประจำ หลังจบเกมบอลลีกช่วงบ็อกซิ่ง เดย์ ที่ฟุตบอลถ้วย ซึ่งมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน จะเริ่มทำการแข่งขันอย่างเต็มรูปแบบ โดยในรอบที่3นี้ จะมีทีมจากสองลีกใหญ่ทั้ง พรีเมียร์ลีก และ แชมเปี้ยนชิพ ลงชิงชัยด้วยเป็นรอบแรก

ซึ่งในซีซั่นนี้กำลังอยู่ในช่วงกลับมาระบาดหนักอีกครั้งของโควิด โดยเกมในรอบ 3 คู่แรกที่ได้ถูกสั่งเลื่อนออกไปแล้ว คือเกมที่"นักบุญ" เซาธ์แฮมป์ตัน จะเปิดรัง เซนต์ แมร์รี่ส์ ต้อนรับการมาเยือนของ ชรูว์สบิวรี่ ทีมจาก ลีก วัน ในวันเสาร์ที่ 9 มกราคมนี้ สาเหตุมาจากการที่มีนักเตะของ ชรูว์สบิวรี่ หลายรายติดโควิดต้องแยกไปกักตัว ทำให้ไม่มีผู้เล่นเหลือมากพอที่จะเดินทางมาทำการแข่งขันได้ และก่อนหน้านี้ "เวย์น รูนี่ย์" ผู้จัดการทีมคนดัง และนักเตะชุดใหญ่ของ ดูบอลออนไลน์ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ใน เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ก็ต้องถูกกักตัวจากการติดเชื้อเช่นกัน ทำให้ต้องใช้นักเตะระดับเยาวชนลงเล่นในเกมที่จะพบกับ ชอร์ลี่ย์ ทีมนอกลีก ในวันเสาร์นี้ จากสถานการณ์ดังกล่าวคาดว่าน่าจะมีเกม เอฟเอ คัพ ที่ต้องถูกเลื่อนอีกหลายคู่ หลังอังกฤษมีผู้ติดเชื้อทะลุวันละ 50,000 รายมาตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลให้นายกรัฐมนตรี "บอริส จอห์นสัน" ต้องสั่งล็อกดาวน์ประเทศรอบ 3 เป็นเวลา 6 สัปดาห์ แต่คู่ที่ไม่มีใครอย่างจะให้เลื่อนมากที่สุด คือคู่เอกของรอบนี้ที่ฝากรอยแค้นกันเอาไว้ ในเกมพรีเมียร์ลีกช่วงต้นของซีซั่นนี้ "แอสตัน วิลล่า" ชื่อนี้แฟนของ "หงส์แดง" คงจะยังจดจำกันได้เป็นอย่างดี เพราะ สิงห์ผยอง คือผู้ที่ยัดเยียดความปราชัย ที่ย่อยยับที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของทีมรักถึง "7-2" ทำให้การกลับมาเยือน วิลล่า พาร์ค อีกครั้งในรายการนี้ คือสิ่งที่แฟนบอลลิเวอร์พูล ต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอย นับตั้งแต่เจอกับวิบากกรรมในวันนั้น ดูเหมือนว่าจะทำให้ซีซั่นนี้ของหงส์แดง กลายเป็นฝันร้ายไปในทันที นับตั้งแต่นั้นทีมของ "เจอร์เก้น คล็อปป์" ต้องเจอกับปัญหาอาการบาดเจ็บเล่นงานอย่างหนัก ซึ่งจนถึงวันนี้พวกเขาแทบไม่เหลือ เซ็นเตอร์แบ็ค เอาไว้ให้ใช้งานแล้ว ปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อฟอร์ม

การเล่นของพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด เพราะในช่วงโปรแกรมโหด บ็อกซิ่ง เดย์ ต่อปีใหม่

ทีมเก็บได้เพียงแค่ 2แต้มจากการลงสนาม 3นัดติดๆกัน ส่งผลให้แชมป์พรีเมียร์ลีก ยังไม่ชนะใครเลย นับตั้งแต่ถล่มคริสตัล พาเลซ ไป7ลูกเมื่อ19ธันวาคมที่ผ่านมา แถมการออกไปปราชัยต่อ เซาธ์แฮมป์ตัน 1-0 ในเกมนัดล่าสุด ทำให้พวกเขายิงใครไม่ได้มาแล้ว2นัดติด ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ เคยยิงได้ทุกนัดในซีซั่นนี้ ตัวเลขต่างๆ เหล่านี้

คือดัชนีที่บ่งบอกถึงฟอร์มการเล่น ที่ผิดเพี้ยนไปของลิเวอร์พูลได้เป็นอย่างดี ทำให้เกมเอฟเอคัพ กับทีมคู่แค้นในรอบนี้ คล็อปป์ และ ลูกทีม หวังที่จะให้เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในซีซั่นนี้ ก่อนที่จะออกไปเจอกับศึกใหญ่ที่กำลังรอพวกเขาอยู่ หลังเกมชำระแค้นที่ วิลล่า พาร์ค หงส์แดงจะต้องทำศึกใหญ่ในพรีเมียร์ลีก ถึง2ใน3ถัดจากนี้ เริ่มจาก"ศึกแดงเดือด" ตารางบอล ที่ แอนฟิลด์ ในวันที่ 17เดือนนี้ กับ แมนฯยูไนเต็ด ที่ทำแต้มขึ้นมาเทียบเท่าพวกเขาได้แล้ว แถมยังมีเกมตกค้างอยู่ในมืออีก1นัด และหลังจากเล่นในบ้านกับ เบิร์ลี่ พวกเขาก็จะต้องไปเยือน ทีมในกลุ่มหัวตารางที่ฟอร์มกลับมาแรงอีกครั้งอย่าง "ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์" ในทางตรงกันข้าม แอสตัน วิลล่า ทีมที่หนีตกชั้นเมื่อซีซั่นก่อน ดูจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีทันที หลังฝากรอยแค้นไว้กับหงส์แดง ทีมของ "ดีน สมิธ" เก็บได้ถึง 26 คะแนนจาก 15 นัด และรั้งอันดับ8ของตารางพรีเมียร์ลีก อยู่ ณ เวลานี้ สิงห์ผยอง เคยคว้าแชมป์เอฟเอคัพมาแล้ว 7สมัยเทียบเท่ากับ ลิเวอร์พูล แต่ครั้งสุดท้ายต้องย้อนหลังกลับไปไกลถึงเมื่อปี 1957 แต่นอกจากจะฝากความเจ็บแค้นให้กับ ลิเวอร์พูล ในเกมลีกซีซั่นนี้ พวกเขาก็ยังเคยเขี่ยทีมของ คล็อปป์ ตกรอบ คาราบาว คัพ ไปเมื่อซีซั่นที่แล้ว ซึ่งพวกเขาไปต่อได้ไกล ถึงเข้าชิงชนะเลิศอีกด้วย อย่างไรก็ตาม แฟนบอลคงต้องช่วยกันลุ้นให้

เกมชำระแค้นในคืนนี้ ได้ไฟเขียวลงเตะกันได้ หลังมีสัญญาณไม่ค่อยจะดีออกมา โดย แอสตัน วิลล่า ต้องสั่งปิดสนามฝึกซ้อม บอดี้มัวร์ ฮีธ เมื่อวานนี้ จากการที่ในแคมป์ของพวกเขา พบผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น แค้นครั้งนี้จะได้ชำระหรือไม่? คงต้องมาเอาใจช่วยกัน