ฟุตบอล “ไทยลีก” เข้าสู่ช่วงเบรก “ฟีฟ่าเดย์” ก่อนจะกลับมาเตะอีกทีในแมตช์เดย์ที่ 12
ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ย.เป็นต้นไป แต่ช่วงหยุดให้ “ทีมชาติไทย” ใช่จะเงียบเหงาเสียทีเดียว แฟนๆยังได้ลุ้นโปรแกรมทั้งที่เลื่อนมาเตะก่อนและตกค้างถึง 4 คู่ “สิงห์เชียงราย ยูไนเต็ด” ต้องขยับมาเตะก่อน 3 นัดก่อนเดินทางไปแข่งขัน “เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก 2020” ให้จบรอบแบ่งกลุ่มระหว่างวันที่ 24 พ.ย. – 3 ธ.ค.ที่ประเทศกาตาร์
โปรแกรม “ไทยลีก” นัดเตะก่อนของ “กว่างโซ้ง” มีวันที่ 4 พ.ย.เยือน “โปลิศ เทโร” วันที่ 10 พ.ย.บุก “สุโขทัย” แล้วปิดท้ายวันที่ 18 พ.ย.เล่นในบ้านเจอ “เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด” ส่วน “ไทยลีก” นัดตกค้างที่เลื่อนมาจากปัญหา “โควิด-19” มีเตะ 1 คู่ ดูบอลสด “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” พบ “ระยอง” วันที่ 11 พ.ย. ทั้ง 4 เกมถือว่าน่าสนใจไม่น้อยเพราะมีผลต่อการลุ้นตั๋ว “เอเอฟซี แชมเปียนส์ลีก 2021” ที่จะตัดจบเลกแรกให้สิทธิ์ทีมอันดับ 1-4 ไปชิงแชมป์เอเชียในฤดูกาลหน้าทันที ว่าไปแล้วปีนีความเข้มข้นของ “ไทยลีก” ที่ขยับโปรแกรมไปเตะข้ามปีดูจะลุ้นสนุกกันตั้งแต่ชิงตั๋ว “เอซีแอล 2021” นี่เลย เพราะแค่จบเลกแรกก็รู้เรื่องแล้ว ส่วนการลุ้นแชมป์และหนีตกชั้นน่าสนใจไม่แพ้กัน หลายๆเกมมีผลการแข่งขันที่เหนือความคาดหมายตลอด ดังนั้น “ไทยลีก” ฤดูกาลนี้จึงถือว่าน่าติดตามแบบลุ้นสนุกทุกสนาม แต่ที่ดูเงียบเหงาในฤดูกาลนี้คือรางวัล “Thai Strike Back” ที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงกันแล้ว ทั้งที่นี่คือรางวัลที่กระตุ้นให้นักเตะไทยยิงประตูได้มากๆ “Thai Strike Back” จะนับการยิงประตูของนักเตะไทยในทุกๆ 5 เกม หากสโมสรไหนมีคนไทยยิงได้รวมกันตั้งแต่ 8 ประตูรับไปเลยทันที 5 แสนบาท
ตอนนี้ “ไทยลีก” ผ่านมา 11 นัดแล้ว เท่ากับว่าลุ้น “Thai Strike Back” มา 2 รอบ
แต่รางวัลยังไม่แตก เรียกว่าไม่ใกล้เคียงด้วยซ้ำ รอบนัดที่ 1-5 เป็น “สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด” ที่มีนักเตะไทยยิงรวมกันมากที่สุด 6 ประตู ส่วนล่าสุดรอบนัดที่ 6-10 เป็น “ทรู แบงค็อก ยูไนเต็ด” ที่ยิงรวมกันมากสุดที่ 6 ประตูเช่นกัน สำหรับรอบนัดที่ 11-15 ที่เพิ่งเตะไปได้แค่ 1 นัดมี “สุโขทัย” กับ “ตราด”
นำอยู่ที่ยิงได้ทีมละ 2 ประตู ขณะที่ “บีจี ปทุม ยูไนเต็ด” “ชลบุรี” “ระยอง” “นครราชสีมา” ยิงได้ทีมละ 1 ประตู ส่วน “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” “การท่าเรือ” และ “เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด” เพิ่งเตะไป 10 นัดยังไม่ได้เริ่มนับในนัดที่ 11 ดูแล้วรางวัล ดูบอลผ่านเน็ต “Thai Strike Back” คงจะต้องลุ้นเหนื่อยเหมือนเดิม เพราะปีนี้นักเตะไทยในตำแหน่ง “ศูนย์หน้า” ดูจะไม่เปรี้ยงอย่างที่ทุกคนคาดหวังเอาไว้ ดาวซัลโวคนไทยที่ยิงประตูเยอะสุดกลายเป็นกองหลังอย่าง “ฟิลิป โรเลอร์” แบ็กขวาของราชบุรีที่ซัดไปแล้ว 6 ประตู แต่เป็นการยิงจากจุดโทษถึง 4 ตุง รองลงมาดีหน่อยที่เป็นแนวรุกล้วนๆที่ยิงได้ 4 ประตูเท่ากันถึง 6 คน นำโดย “สุภโชค สารชาติ” ที่ยิง 4 ประตูให้ “ปราสาทสายฟ้า” ตั้งแต่ 4 นัดแรก หลังจากนั้นยังไม่ยิงอีกเลย ต่อด้วย “ณัฐวุฒิ สุขสุ่ม” กองหน้าดาวรุ่งที่สุดในปีนี้แล้วของ “แข้งเทพ” นอกจากนั้นมี “อดิศักดิ์ ไกรษร” หัวหอกดีกรีทีมชาติไทยที่กลับมายิงให้ “สิงห์เจ้าท่า” แบบต่อเนื่องตั้งแต่เปลี่ยนโค้ช รายของ “อดิศักดิ์ ศรีกำปัง” นี่ฟอร์มดีมากกับ “มังกรโล่เงิน” แต่อายุเยอะไปเลยไม่ติดโผทีมชาติ ขณะที่ “ชญาวัต ศรีนาวงษ์” กับ “ธีระพล เยาะเย้ย” เข้าขากันสุดในทีม “เขี้ยวสมุทร” เชื่อแน่ว่าทุกๆปีแฟนบอลไทยจะคอยเชียร์ให้นักเตะไทยได้ลุ้นรางวัล “ดาวซัลโว” บ้าง แต่หลายปีมาแล้วที่แทบไม่ได้ลุ้นตรงนี้เลย สำหรับฤดูกาลนี้ ดาวซัลโวสูงสุดในปัจจุบันคือ “บิล โรซิมาร์” ของ สิงห์ เชียงราย ยูไนเต็ด และ “จอห์น บาจโจ” ของ สุโขทัย ที่ยิงไปแล้ว 8 ประตูเท่ากัน ถึงตรงนี้ยังมีหลืออีกเยอะให้ผลิตสกอร์ ดังนั้นนักเตะไทย จะมีโอกาสลุ้นดาวซัลโวมากน้อยแค่ไหน
หรือทีมใดจะได้ลุ้นซิวรางวัล “Thai Strike Back” บ้างคงต้องตามลุ้นกันไปแบบนัดต่อนัด แต่ก็หวังว่าพอหมดเบรก “ฟีฟ่าเดย์” กลับมานักเตะไทยจะชื่อทำประตูเยอะขึ้น และขอให้รางวัล “Thai Strike Back” ไม่เงียบเหงาเหมือนที่ผ่านมาอีกนะ เชียร์ขาดใจ นักเตะไทยสู้ๆ
Comments