ก่อนเปิดฤดูกาลนี้ อัตราต่อรองการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกของ เชลซี อยู่ในระดับที่ไม่น่าลงทุนเท่าไหร่
เพราะพวกเขาจ่ายไปเยอะมาก เพื่อการเสริมทีม ติโม แวร์เนอร์ ที่มีข่าวกับ ลิเวอร์พูล มาโดยตลอด แต่พอถึงเวลาก็ย้ายไปอยู่กับ แฟร้ง แลมพาร์ด จากนั้นก็ยังมี ไค ฮาแวร์ต ดาวรุ่งของบุนเดสลีก้าจาก เลเวอร์คูเซ่น ตามไปสมทบอีกคน แถมก่อนหน้านั้นก็ยังได้ ฮาคิม ซีเย็ค จากอาแจ๊กซ์ไปรอท่าอยู่แล้ว แล้วก็ยังมีรายอื่นๆ ที่เรียงหน้ากัน
เข้าสู่ค่าย สแตมฟอร์ด บริดจ์ แบบไม่ต้องคิดมาก สิริรวมแบบคร่าวๆ เงินที่ เชลซี จ่ายไปเพื่อการเสริมทีมของ แลมพาร์ด ไม่ต่ำกว่า 200 ล้านปอนด์ เมื่อมีอาวุธดีซีขนาดนี้ พวกเขาก็คงชนะสงครามแบบไม่ยากแน่นอน แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าพวกเขาอยู่ในอันดับ 8 เป็นรอง เอฟเวอร์ตัน และ เวสต์แฮม เสียด้วยซ้ำ การมาของฝูงซูเปอร์สตาร์ ทำให้ดาวรุ่งหลายคนที่กำลังจะแจ้งเกิดอยู่แล้ว กลับต้องถอยหลังไปเป็นกองนั่ง โดยเฉพาะแนวรุกอย่าง ดูบอลออนไลน์ แทมมี่ อับราฮัม ที่ทำผลงานเอาไว้ดีในปีที่แล้ว ต้องเป็นแค่ผู้เล่นข้างสนาม เช่นเดียวกับ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ ตัวเก๋าที่ยังเล่นได้ดี ก็กลายเป็นแค่ตัวประกอบของทีม นอกจากนั้นแล้วนักเตะอย่าง รอส บาร์คลีย์ และ รูเบน ลอฟตัส ชีค ก็ถูกปล่อยยืมตัว ด้วยความมั่นใจในศักยภาพ ของนักเตะชุดใหม่ที่ซื้อเข้ามา แต่ก็ไม่วายโดนค่อนขอดว่ากองหน้ามีแต่ซูเปอร์คาร์ แต่กองหลังยังเป็นรถมือสองที่ซ่อมแล้วซ่อมอีก แล้วก็เป็นแบบนั้นจริงๆ กองหน้ายิงได้เรื่อยๆ ขณะที่กองหลังก็เปื่อยเป็นกระดาษ จนกระทั่งได้ เอดูอาร์ เมนดี้ นายทวารฝีมือดีมาจาก แรนส์ ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะดีขึ้น และเคยผงาดขึ้นไปนั่งแท่น จ่าฝูงพรีเมียร์ลีกมาแล้ว หลายฝ่ายฟันธงว่า องค์ประกอบของ เชลซี เริ่มจะลงตัว แต่พอเข้าเดือนธันวาคมเท่านั้นแหละ เชลซี ก็แกว่งแบบหยุดไม่อยู่ 9 เกมในพรีเมียร์ลีก พวกเขาชนะ แค่ 3 และแพ้ไปถึง 5 เกม แต้มที่เห็นว่ามาใสๆ กลายเป็นงานยาก แม้แต่เกมกับ ฟูแล่ม ที่ถือว่าเป็นลูกไล่ก็ยังเอาชนะได้แค่ 1-0 แล้ว ก็ร่วงลงไปอยู่กลางตาราง การพบกับทีมในเกรดเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ลิเวอร์พูล, แมนฯ ยูไนเต็ด, แมนฯ ซิตี้, สเปอร์ส และ อาร์เซน่อล พวกเขาเอาชนะคู่แข่งได้แม้แต่เกมเดียว เมื่อผลงานเป็นเช่นนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า แลมพาร์ด กำลังเสี่ยงต่อการถูกปลดออกจากตำแหน่ง และกลายเป็นตัวเต็งอันดับต้นๆ ที่อาจจะต้องเสียเก้าอี้ของตัวเองไป ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
เพราะการลงทุนจำนวนมหาศาลได้กลายเป็นความกดดัน ในฤดูกาลแรกของ แลมพาร์ด
เชลซี ที่เต็มไปด้วยพลังของดาวรุ่งกลายเป็นทีมที่ได้รับคำชื่นชม เพราะสามารถคว้าตำแหน่งไปเล่น แชมเปี้ยนส์ลีก ได้สำเร็จ แต่พอทีมมีการลงทุนครั้งใหญ่ ผลงานกลับเดินถอยหลัง ซุปตาร์ทั้งหลายยังไม่สามารถปรับตัวกับการเล่นแบบอังกฤษได้ เรื่องทีมเวิร์คจึงไม่ต้องพูดถึง นักเตะค่าตัวแพงที่สุดในตลาดอย่าง ไค ฮาแวร์ตซ์
ผู้ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นไอ้หนูมหัศจรรย์แห่งวงการฟุตบอลเยอรมัน กลายเป็นเด็กน้อยเมื่อมาเจอเกมหนักๆ ของพรีเมียร์ลีก ขณะที่ดาวยิงอย่าง แวร์เนอร์ ก็ฝืดเหลือเกิน และยิงประตูไม่ได้ในพรีเมียร์ลีกมาเกิน 10 นัดติดต่อกันแล้ว ทำให้ชัยชนะ ก็หดหายไปด้วย คนที่ถูกวิจารณ์มากที่สุดคงไม่พ้น แลมพาร์ด ที่แม้ว่าจะเป็นตำนานของสโมสร สร้างสถิติไว้มากมายตอนเป็นผู้เล่น เขากำลังถูกมองว่าเป็นเพียงอดีตนักเตะที่เก่ง แต่การคุมทีมใหญ่อย่างนี้เป็นคนละเรื่อง บารมี และประสบการณ์เป็นสิ่งที่ แลมพาร์ด ยังไม่มีมากพอ จึงดูเหมือนจะเร็วเกินไปที่เขาตัดสินใจกลับมารับงานที่รังเก่า สิ่งที่เรียนรู้จาก ดาร์บี้ ในแชมเปี้ยนชิพเอามาช่วยอะไรที่ เว็บดูบอล สแตมฟอร์ด บริดจ์ ไม่ได้เลย อาจจะเร็วเกินไปที่จะตัดสินว่า เชลซี ล้มเหลวในฤดูกาลนี้ เพราะยังเหลือเวลาให้พวกเขาตีตื้นขึ้นมาได้อีกเช่นกัน แต่ปัญหาก็คือ โรมัน อบราโมวิช เป็นเจ้าของสโมสรที่รออะไรไม่ได้นาน เมื่อเงินที่ลงทุนไปกลายเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ อาจจะต้องมีการเปลี่ยนกุนซือ ตอนนี้กุนซือฝีมือดีอยู่ก็มีหลายคนเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็น มัสซิมิเลียโน่ อัลเลกรี, ยูเลี่ยน นาเกลมันส์, โธมัส ทูเคิ่ล หรือแม้แต่ ราล์ฟ ฮาเซนฮัทเทิ่ล ที่กำลังมีผลงานดีมากกับ เซาแฮมป์ตัน แต่คนที่มาแรงกว่าใครในตอนนี้กลับเป็น อังเดร เชฟเชนโก้ อดีตศูนย์หน้ายเครนของ เชลซี ที่ผลงานตอนเป็นผู้เล่นเทียบกับ แลมพาร์ด ไม่ได้ ทว่ามีผลงานในการคุมทีมชาติยูเครนที่น่าทึ่ง โชคของ แลมพาร์ด ยังดีอยู่บ้างที่ 3 เกมต่อจากนี้
พวกเขาจะได้เล่นในบ้านทั้งหมด เริ่มจากพบกับ ลูตัน ใน เอฟเอคัพ จากนั้นก็จะพบกับ วูล์ฟส์ และ เบิร์นลี่ย์ หลังจากนั้นจึงจะต้องออกไปเยือน สเปอร์ส และ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ซึ่งว่ากันตามเนื้อผ้าแล้ว ถือว่า เชลซี น่าจะเอาอยู่ แต่ถ้าเอาไม่อยู่ ก็ตัวใครตัวมัน
Comentarios