เหมือนยกภูเขาไฟออกจากอก เจอร์เก้น คล็อปป์ คงอยากจะบอกอย่างนั้น นับตั้งแต่ช่วงบ๊อกซิ่งเดย์มาแล้ว
ที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะไม่ได้เลยในพรีเมียร์ลีก แม้แต่การถล่ม แอสตัน วิลล่า ชุดเล็กมากใน เอฟเอคัพ ก็ช่วยกู้หน้าไม่ได้ และในระหว่างเส้นทางที่โรยไว้ด้วยขวากหนามนั้น ลูกทีมของ คล็อปป์ ทำประตูในลีกได้แค่ประตูเดียวในเกมที่เสมอกับ เวสต์บรอมวิช จากนั้นก็เสมอ นิวคาสเซิ่ล, แพ้ เซาแฮมป์ตัน และ เบิร์นลี่ย์ แบบไม่มีประตู
ก่อนจะไปทำศึกแดงกร่อย แล้วค่อยไปเดือดจริงๆ ใน เอฟเอคัพ รอบสี่ ก่อนจะสิ้นสุดสเส้นทางบอลถ้วยแค่นั้น การทำได้ 2 ประตูจาก โม ซาล่าห์ ในเกมกับ แมนฯ ยูไนเต็ด น่าจะเป็นการกระตุ้นให้พวกเขากลับมามั่นใจในวิถีเกมบุกแบบเครื่องจักรสีแดง ทำให้เกมที่ไปเยือนเล้าไก่ กลายเป็นความมันเหนือความคาดหมาย ซาดิโอ มาเน่ กับ โรแบร์โต่ เฟร์มิโน่ กลับมายิงประตูกันได้แล้ว ครบถ้วนทั้งสามหน่อเนื้อเชื้อหงส์ สร้างความประทับใจให้กับ ดูบอลออนไลน์ คล็อปป์ ยิ่งนัก พอ มาร์ติน แอ๊ตกินสัน เป่านกหวีดหมดเวลา คล็อปป์ ก็ฟาดกำปั้นใส่อากาศ ทั้งดีใจทั้งโล่งอกว่า สเปอร์ส ไม่มีทางกดดันพวกเขาแน่นอนแล้ว ดีใจได้ ไม่ต้องกลัวเก้อ แชมป์เก่าไม่ชนะในลีกมา 5 เกมแล้ว และทำประตูไม่ได้ถึง 4 เกมทั้งที่เมื่อฤดูกาลที่แล้วใครๆ ก็กลัวประสิทธิภาพในการทำลายล้างของ 3 ดาวยิงหงส์แดง แถมยังต้องมาหยุดสถิติไร้พ่ายใน แอนฟิลด์ ไว้ที่ 68 เกมจากฝีเท้าของทีมท้ายแถวอย่าง เบิร์นลี่ย์ นี่เป็นครั้งแรกในช่วงเวลาอันยาวนานที่เกิดคำถามขึ้นมากมายกับ ลิเวอร์พูล ชัยชนะในลอนดอนเหนือ ยังไม่ได้หยุดความมุ่งมั่นที่จะป้องกันแชมป์ของพวกเขา แต่การที่ยังตามหลัง แมนฯ ซิตี้ อยู่ถึง 7 คะแนน และแข่งมากกว่าอยู่ 1 เกมอาจทำให้กำลังใจหดหายไปบ้าง ลิเวอร์พูล ต้องต่อสู้กับปัญหาการเสียเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ แต่ก็ยังเอาชนะเกมรุกของ สเปอร์ส ที่เริ่มไอเดียตันจากการบาดเจ็บของ แฮร์รี่ เคน และต้องโดนเปลี่ยนตัวออกในช่วงพักครึ่ง ประตูที่ เฟร์มิโน่ ยิงขึ้นนำในช่วงทดเวลาเจ็บครึ่งแรกทำให้ทีมได้เปรียบเยอะมากเมื่อครึ่งหลังของ สเปอร์ส ไม่มีกัปตันทีม นั่นคือประตูที่ 5 จาก 6 เกมหลังในพรีเมียร์ลีกที่ เฟร์มิโน่ ยิงได้ในเกมที่พบกับ สเปอร์ส ดาวยิงบราซิลคนนี้เหมือนเกิดมาเพื่อฆ่าไก่อย่างแท้จริง
“สิ่งที่ผมเห็นไม่ใช่เรื่องของทรงบอล หรือฟอร์มการเล่นของเรา แต่เป็นการแสดงให้เห็นในสิ่งที่เป็นเรา ในครึ่งหลังนั่นแหละคือ ลิเวอร์พูล ที่แท้จริง” คล็อปป์ ว่าอย่างนั้น
ถ้าจะบอกว่าเพราะทีมตราไก่ไม่มี เคน ลิเวอร์พูล ก็เลยเล่นเป็นพระเอกในครึ่งหลังก็คงจะไม่ใช่แบบนั้นทั้งหมด เนื่องจาก ลิเวอร์พูล เองก็ต้องเสีย โจเอล มาติ๊ป เซ็นเตอร์อาชีพหลักตัวสุดท้ายของชุดใหญ่ที่เหลืออยู่ หลังจากที่ เวอร์จิลฟานไดค์ กับโจโกเมซ เจ็บไปแล้วก่อนหน้านี้ คล็อปป์ ต้องส่ง นาธาเนี่ยล ฟิลลิปส์
ลงไปยืนคู่กับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่ต้องทำหน้าที่ที่ไม่ถนัด ฟาบินโญ่ ที่เคยถอยลงมาเล่นกองหลังตัวกลางก่อนหน้านี้ ก็ลงสนามไม่ได้เพราะมีอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อ ทำให้ ลิเวอร์พูล แทบไม่มีตัวเลือกที่พอจะมั่นใจได้ บางทีนี่อาจบีบให้ คล็อปป์ ต้องโดดเข้าตลาดนักเตะ หลังจากที่เคยบอกอย่างมั่นใจว่า “เอาอยู่” แต่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของ ตารางบอล คล็อปป์ ก็ทำให้พวกเขาเอาชนะเกมที่ยากลำบากได้สำเร็จ ดังนั้นการที่ดูคะแนนในตารางแล้วตัดสินว่าพวกเขาหมดลุ้นแชมป์แล้วก็คงจะเร็วเกินไป ลิเวอร์พูล เล่นได้ดีตั้งแต่เริ่มเกม แล้วก็ทำประตูแรกได้ทีหลังจากที่ผ่านไป 482 นาที และโอกาสยิง 93 ครั้ง นับตั้งแต่ประตูสุดท้ายที่ทำได้ในเกมกับ เวสต์บรอมวิช ประตูที่สองของพวกเขา มาจาก เทรนด์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ทำให้เขากลายเป็นกองหลังที่มีส่วนกับประตูในพรีเมียร์มากที่สุดนับตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้ว โดยยิงเอง 5 ประตู และทำอีก 16 แอสซิสต์ เกมรุกของ ลิเวอร์พูล กลับมาหลากหลายอีกครั้ง ไม่ต้องหวังพึ่งแค่กองหน้า เมื่อความมั่นใจกลับคืนมา ฟอร์มของแชมป์ก็เช่นกัน ปิแอร์ เอมิล ฮอยเบิร์ก ทำประตูแรกให้กับ สเปอร์ส ได้ในที่สุด หลังจากที่ลงเล่นให้ทีมตราไก่ไป 30 เกม ปลุกความหวังขึ้นมาได้บ้าง แต่ก็ได้แค่นั้น เพราะ ซาดิโอ มาเน่ ได้ยิงประตูที่สามให้แชมป์เก่าเอา 3 แต้มกลับ แอนฟิลด์ ไปจนได้ ครึ่งหลัง โชเซ่ มูรินโญ่ พยายามกระตุ้นลูกทีมให้ฮึดสู้ แต่ก็เหมือนเข็นรถที่แบตหมด สตาร์ทยังไงก็ไม่ติด กระตุ้นยังไงสัญญาณชีพก็ไม่มา มูรินโญ่ คุมทีม สเปอร์สแพ้ในบ้านเป็นเกมที่ 6 แล้ว มากกว่าทุกสโมสรที่เขาเคยคุมมา และนี่เพิ่งจะผ่านไปเพียงครึ่งทางเท่านั้น ตรงกันข้ามกับ ลิเวอร์พูล ทั้งฟอร์มและผลการแข่งขันทำให้พวกเขาขึ้นไปอยู่ท็อปโฟร์
และพร้อมกดดันคู่แข่งทั้งสองทีมจาก แมนเชสเตอร์ ว่าถ้าพลาดเมื่อไหร่ หงส์แดงก็พร้อมแซงทันที 7 กุมภาพันธ์ ทีมเรือใบสีฟ้าจะต้องไปเยือน แอนฟิลด์ นั่นคือเกมสำคัญที่ชัยชนะของเจ้าถิ่นจะทำให้การแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้เข้มข้นยิ่งกว่าที่เป็น
Comments